web analytics
SIAMNEWSDAY

ช่อง 7HD ส่ง “ข้ามากับพระ รีรัน”

ช่อง 7HD เอาใจสายบู๊สุดพลัง หยิบละครบู๊เรื่องดังในตำนาน “ข้ามากับพระ” ละครที่เป็นเจ้าของสถิติ เรตติ้งวันเปิดตัวสูงถึง 10.5 และเรตติ้งตอนจบสูงถึง 14.3 กลับมารีรันให้ได้ชมกันอีกครั้ง หลังข่าวภาคค่ำ ทุกวันพุธ พฤหัสบดี

“ข้ามากับพระ” ละครบู๊สนั่น บุกป่า เพื่อคุณธรรม การันตีความสนุกจากค่าย “โคลีเซี่ยม อินเตอร์กรุ๊ป” ซึ่งมีผู้จัดคนเก่ง พรพิมล มั่นฤทัย  ควบคุมการผลิต บทประพันธ์ของ พนา ภานุมาศ บทโทรทัศน์โดย ภูมิ พญาไฟ  ทั้งนี้ได้ ทองก้อน ศรีทับทิม กำกับการแสดง นำแสดงโดย “บิ๊กเอ็ม-กฤตฤทธิ์ บุตรพรม” ในบท “ศักดิ์” จับคู่บู๊กับนางเอกสาวสวย “ฮาน่า ลีวิส”  ในบท “แก้วตา” พร้อมด้วย “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” ในบท “หลวงพ่อเสือ” และนักแสดงอีกคับคั่ง อาทิ วัชรบูล  ลี้สุวรรณ, จิลล์  โรเจอร์, ชาติชาย  งามสรรพ์, สุรวุฑ  ไหมกัน, เล็ก  ไอศูรย์, นาท ภูวนัย, ธนา  สิทธิประสาธน์, ปราบต์ปฎล สุวรรณบาง, อิทธิกร  สาธุธรรม  ฯลฯ โดย บิ๊กเอ็ม เผยถึงการกลับมาอีกครั้งของ ศักดิ์ ประกาศิต ว่า 

“ช่วงนี้สถานการณ์โควิด-19 ทำให้หลายคนเครียด อยากให้ดูแลสุขภาพกันด้วยนะครับ เร็วๆนี้ ศักดิ์ ประกาศิต จะกลับมาอย่างแน่นอน พวกเราจะพาพวกคุณไปผ่อนคลายกับละครที่เคยสร้างความประทับใจอยู่ในความทรงจำ หรืออาจเป็นละครเรื่องโปรดของใครหลายคน กลับมาให้ชมกันอีกครั้ง  เตรียมตัวให้พร้อม แล้วมาพบกับ ข้ามากับพระ ที่หน้าจอ ช่อง 7HD เริ่มตอนแรก วันพุธที่ 28 กรกรฎาคมนี้ รับรองเต็มอิ่ม จุใจ ครบรส แฟนละครบู๊ห้ามพลาดครับ”

           ติดตามชม “ข้ามากับพระ รีรัน” ทุกวันพุธ พฤหัสบดี เวลา 20.30 น. เริ่มตอนแรกวันพุธที่ 28 กรกฎาคมนี้ ทางช่อง 7HD กด 35 และ Facebook Live : Ch7HD หรือรับชมย้อนหลังได้ทาง BUGABOO.TV 

เปิดฉาก “แม่เบี้ย” อลังการ“นาว” กับสร้อยเพชรงู 22 ล้าน

เปิดฉากแรกของละครเรื่อง “แม่เบี้ย” ละครฟอร์มใหญ่ของผู้จัด เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร บริษัทเอ.แอ็คท์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด บทประพันธ์ วานิช จรุงกิจอนันต์ บทโทรทัศน์ มุนีมนตรา กำกับโดย ผิน เกรียงไกรสกุล ก็จัดใหญ่จัดเต็มกับฉากใหญ่ ขนสร้อยเพชรงู จากบิวตี้ เจมส์ ราคา 22 ล้านมาให้นางเอก นาว ทิสานาฏ ศรศึก ใส่อวดโฉมเป็นครั้งแรก

            โดยเป็นงานเปิดอีเวนส์การท่องเที่ยว ซึ่งเมขลา(นาว ทิสานาฏ ) และเพื่อนสาวบุษบา(ใจบัว ฮิดดิง) ก็ได้ไปโปรโมทบริษัททัวร์ของตัวเองด้วย แต่ด้วยเหตุจำเป็น เมขลาต้องขึ้นเดินแบบแทนนางแบบที่มาไม่ได้ ในงานชนะชล(เอส กันตพงศ์ บำรุงรักษ์) นักธุรกิจชื่อดังมาร่วมงานด้วย รู้สึกประทับใจในตัวเมขลา แต่แล้วก็เกิดเรื่องเมื่อวิชชุดา(ฝ้าย นิชานันท์ ฝั้นแก้ว) และน้องสาวณิณา(โม อมีนา พินิจ)มาหาเรื่องอาละวาดในงานสาดน้ำใส่เมขลา ด้วยความหึงหวงพจน์(โน้ต วัชรบูลย์ ลี้สุวรรณ) คิดว่ามีความสัมพันธ์กับเมขลา จนพจน์ต้องมาลากตัวกลับบ้าน ยืนยันว่าไม่ได้มีอะไรกับเมขลา แต่วิชชุดา ก็ไม่ยอมเลิกรา เดินตามเมขลาจะหาเรื่องอีก จนชนะชลต้องไปช่วยเมขลาซ่อนตัว

            ฉากนี้ถ่ายทำกันที่เบเนดิก สตูดิโอ เป็นฉากใหญ่เปิดตัวละคร นักแสดงเพียบ รวมทั้งเหล่านางแบบรับเชิญ มีนักแสดงสาว เจนนี่ ชยิสรา วัฒนะนาวิน มาร่วมเดินแบบด้วย ฉากนี้ สาวนาว ใส่สร้อยงูราคาแพง เด่นเป็นสง่ามากๆ ซักซ้อมการเดินแบบกับทั้งนางแบบจริง และนางแบบรับเชิญอยู่หลายรอบ มีพี่เอ ศุภชัย ผู้จัดของเรา ก็มาร่วมเดินแบบสนุกสนาน เบื้องหลังฉากด้วย จากนั้นต่อด้วยการซ้อมบท บล็อคกิ้ง ทะเลาะกันของฝั่งดาวร้ายทั้งสาม อย่างฝ้าย นิชานันท์ , โม อมีนา และ โน้ต วัชรบูรณ์ ก่อนที่สาวฝ้ายจะสาดน้ำใส่นาว ซ้อมอยู่หลายรอบ แต่พอถึงเวลาสาดน้ำ ต้องสาดอยู่ 2 รอบเพราะรอบแรกไม่ค่อยโดน ก็เลยต้องสาดอีกครั้งจนหน้าของนาวเปียกปอน แต่ไม่มาก ก่อนที่พระเอกของเรา พี่เอส จะพาเดินออก ไปหลบในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ได้กุ๊กกิ๊กกอดกันหลบคน แต่ถ่ายทำยากเพราะห้องแคบมาก

            ฉากใหญ่ฉากนี้ใช้เวลาถ่ายทำกันทั้งวันกว่าจะเสร็จ เพราะนักแสดงเยอะ ทั้งถ่ายทำการเดินแบบด้วย รายละเอียดมากมาย วุ่นวายกันทีเดียว เรียกว่าแค่คนดูไม่กี่นาที ต้องทุ่มทั้งทุนและเวลามากทีเดียว

            ติดตามชมฉากใหญ่เปิดละคร “แม่เบี้ย” ตอนแรกได้ในวันอังคารที่ 27 กรกฎาคมนี้ เวลา 20.30 น.ช่อง 7HD กด 35 และ Facebook Live : Ch7HD หรือรับชมย้อนหลังได้ทางBUGABOO.TV 

‘ไอซ์ ศรัณยู’ขอเป็นตัวแทน’พ่อมาก’ร้อง’คำสัญญา’ประกอบซีรีส์แม่นากฯ

จากกระแสตอบรับของคนดูที่ให้แบบเต็มร้อยกับซีรีส์แม่นากพระโขนง ค่ายยามา เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด  ทาง ช่อง 9 MCOT HD  หมายเลข 30 ผลงานกำกับการแสดงของ อ๊อด-ราเมศ เรืองประทุม ที่จับเอา ขวัญ-อุษามณี ไวทยานนท์ มาประกบ นิว-ชัยพล จูเลียน พูพาร์ต เป็นครั้งแรก ทำให้ 2 ผู้จัด เดย์-นเคนทร์ จักษุแก้ว และ เอ็มมี่-อมลวรรณ ศิริกิตติรัตน์ อยากจะมอบโบนัสพิเศษสำหรับแฟนๆ เลยจัดทำเพลงประกอบซีรีส์อีกหนึ่งเวอร์ชั่น ถ่ายทอดโดยนักร้องเสียงคุณภาพ ไอซ์-ศรัณยู วินัยพานิช

                ไอซ์ ศรัณยู เผยถึงการทำงานในครั้งนี้ว่า “เพลงคำสัญญาเป็นเพลงประกอบซีรีส์แม่นากพระโขนง เวอร์ชั่นที่เป็นตัวแทนของพ่อมาก ก็รู้สึกว่าขนลุกมากเลยตอนแรกที่ได้ฟังเวอร์ชั่นที่น้องออยร้อง น้องทำไว้ดีมากๆ ฟังแล้วทำให้เข้าใจความรู้สึกของตัวละคร ทันทีที่ทางทีมซีรีส์ติดต่อมาว่าอยากจะให้ไอซ์มาร้องเวอร์ชั่นนี้ ตอนแรกยังไม่ได้ฟัง พอไปฟังก็รู้สึกมันเพราะมาก มาร้องเองมันก็เข้ากับเสียงกับความรู้สึกของเรานะ ก็เลยติดต่อกับไปว่าโอเคอยากร้อง

                ตอนแรกที่เข้าห้องอัดจะบอกว่า ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเนอะ มันเหมือนมีอุปสรรค เสียงไม่มา อัดไม่ได้ จนน้องเอ็มมี่ทักว่าได้ไหว้ขอย่านากหรือยัง มันก็เป็นเรื่องแปลก คือเราก็เป็นคนไม่ได้สายมู ไม่ได้ลบหลู่อะไร ก็จริงนะ เราก็ลืมขอ เลยพนมมือขออนุญาติร้องเพลงนี้ ถ่ายทอดความรู้สึกนี้ หลังจากนั้นก็ทำงานแบบราบรื่นเฉยเลย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แปลกดี

                เรื่องของย่านากกับพ่อมาก ไอซ์ว่าคนไทยทั้งประเทศรู้จักอยู่แล้ว ทั้งจากเรื่องเล่า หรือรู้จักผ่านหนัง ละคร แต่อาจจะไม่ได้รู้ลึกถึงรายละเอียดมากนัก สำหรับตัวไอซ์เองไม่เคยดูในเวอร์ชั่นละคร ได้มาดูในเวอร์ชั่นละครเวทีกับหนัง ในเวอร์ชั่นหนังเขาเอามาตีความเป็นแบบใหม่แล้วเราเลยไม่ได้รู้ว่าประวัติแต่ดั้งแต่เดิมคืออะไร ซึ่งพี่ๆ ทีมแม่นาก เขาก็เล่าให้เราฟัง เรื่องราวดั้งเดิมมันมีแบบนี้ด้วย พ่อมากรู้ว่าแม่นากไม่อยู่แล้วก็อยากที่จะตามไปอยู่ด้วยอะไรแบบนี้ ทำให้เราเข้าใจในเพลงนี้และร้องออกมาได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น  ยอมรับว่า หลังจากนั้นพี่ๆ ก็อธิบายถึงที่มาที่ไปของเพลงนี้ หรือความรู้สึกอะไรแบบนี้ มันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ตลอดการอัด โดยการทำงานชิ้นนี้ไอซ์โอเคมากๆ และก็ดีใจที่เป็นเสียงเราที่ได้ร้องลงไปในเพลงนี้ อย่างที่บอกเพลงเพราะมาก ถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้ดีมาก ยังไงไอซ์ก็ขอฝากผลงานเพลงนี้ด้วยนะครับ เพลงประกอบซีรีส์แม่นากพระโขนง ทางช่อง 9 ทั้งเวอร์ชั่นของน้องออย และเวอร์ชั่นของไอซ์ ด้วยนะครับ”

ติดตามซีรีส์พีเรียดฟอร์มใหญ่ แม่นากพระโขนง ได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 18.00 น.  ทาง ช่อง 9 MCOT HD  หมายเลข 30 และรับชมย้อนหลังได้ทาง LINE TV เวลา 19.00 น.


#แม่นากพระโขนง #ช่อง9 #MCOTHD  #หมายเลข 30 #LINETV

“ดีเจ.ต้นหอม-กอล์ฟ อัครนันท์” ปันน้ำใจ บริจาคเครื่องผลิตออกซิเจน

กำลังใจ คือ สิ่งสำคัญ เราจะผ่าน โควิด -19 ไปด้วยกัน ดีเจต้นหอม-ศกุนตลา เทียนไพโรจน์ และ กอล์ฟ อัครนันท์ 2 ซีอีโอ แบรนด์ Hira Blue ที่มักจะออกมาช่วยเหลือทผู้คน และตอบแทนสังคมอย่างต่อเนื่อง ยิ่งในช่วงนี้มีวิกฤติโควิด-19 ระบาดหนัก ยอดติดเชื้อเพิ่มขึ้นนิวไฮต่อเนื่อง! ทำให้เกิดปัญหาเตียงขาดแคลนผู้ป่วยโควิดหลายคนยังคงต้องรอเตียงนานหลายวัน ล่าสุด “ดีเจ.ต้นหอม และ กอล์ฟ อัครนันท์” ก็ไม่นิ่งนอนใจ มองเห็นปัญหาตรงนี้จึงขอเป็นส่วนหนึ่งเพื่อสู้วิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้  บริจาคเครื่องผลิตออกซิเจน 20 เครื่อง เพื่อเป็นอุปกรณ์ช่วยเหลือ พี่น้องประชาชนตามบ้านเรือนและรพ.สนาม ผู้ป่วยกึ่งวิกฤติต่อลมหายใจผู้ป่วยโควิด-19 โดยเครื่องผลิตออกซิเจนนี้เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการหายใจ หรือผู้ที่ต้องการออกซิเจนเนื่องจากมีปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ำซึ่งเป็นอาการหลักของผู้ติดเชื่อโควิด-19

โดยเป้าหมายหลักคือการช่วยผู้ป่วยกึ่งวิกฤติ เตียงเหลือง ให้ฟื้นฟูอาการจนกลายเป็นผู้ป่วย เตียงสีเขียว และขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ และคนไทยทุกคน มีแรงสู้ และผ่านวิกฤตโควิด 19 ครั้งนี้ไปด้วยกัน

“PINGx” comeback พร้อมลุยเดี่ยวส่ง “ตัวจบ” เพลงรักความหมายดี

จะมีซักกี่คนที่จะโชคดีเจอคนสุดท้ายของหัวใจ!!  “ตัวจบ” เพลงรักหวาน ๆ จาก PINGx ปิง-เอ็กซ์ (ปรีชา นิลเจียรสกุล) โดยซิงเกิลนี้พูดถึงการที่คนคนนึงเจ็บปวดกับความรักมามากมายจนไม่อยากจะมีใคร แต่พอได้เจอเธอคนที่ใช่ ก็รู้ทันทีว่านี่คือคนที่รอคอยมานานแบบตอบใจตัวเองได้เลยทันทีว่านี่แหละ “ตัวจบ” หรือเป็นคนสุดท้ายในใจนั่นเอง!! โดยมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ได้ “หลิน” มชณต สุวรรณมาศ และ “กันสมาย” ชนกันต์ อาพรสุทธินันธ์ มาถ่ายทอดอารมณ์ และ เรื่องราวของเพลงนี้ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยPINGxได้เล่าถึงการหวนคืนวงการเพลงในครั้งนี้ว่า…

“ตอนนั้นที่ตัดสินใจเลิกเป็นศิลปินเพราะผมตั้งใจที่จะโฟกัสเรื่องการเรียนเป็นหลัก เพราะผมมีความฝันที่อยากจะเป็นนักธุรกิจ พร้อมกับเป็นจังหวะที่เราสอบติดมหาวิทยาลัยที่มหิดลพอดีครับ หลังจากจบปริญญาตรีผมก็บินไปเรียนปริญญาโทต่อที่ประเทศอังกฤษ พอกลับมาปุ๊บผมก็มุ่งหน้าสู่ธุรกิจอย่างเต็มตัว ก่อตั้งแว่นตาแบรนด์ Marco Polo รวมไปถึง Jewelry Moscowa และกำลังจะต่อยอดเป็น Marco Polo Home ในเร็วๆนี้อีกด้วย และเหตุผลที่หวนกลับมาจับไมค์อีกครั้ง ก็เพราะว่าคิดถึงการร้องเพลง และ อยากชาเลนจ์ตัวเองอีกครั้งพร้อมกับซิงเกิลแรกในรอบ 17 ปี ตัวจบ เพลงแนว โซล อาร์ แอนด์ บี ก็มีการเคาะสนิมกันบ้างนิดหน่อย มีไปเรียนสกิลเพิ่มเติมเพราะแนวเพลงนี้ต้องใช้เทคนิคพอสมควร โดยได้ ปู๋ ปิยวัฒน์  มาช่วยสร้างสรรค์เรียบเรียงทั้งเนื้อร้อง – ดนตรี พร้อมกับเป็นโปรดิวเซอร์ ให้ ซึ่งผมก็ชื่นชอบ และ ติดตามผลงานของเค้ามานานแล้ว ด้านมิวสิกวิดีโอ เป็นอะไรที่ให้ฟีลน่ารักๆ แต่มีหักมุม อยากให้ทุกคนต้องลองดูกันเองครับ (ยิ้ม) สุดท้ายผมอยากฝากให้ทุกคนได้ฟังเพลงนี้จริงๆครับ เพลงนี้น่าจะเป็นสื่อให้กับทุกคนที่อยากเจอคนรักคนสุดท้ายแบบตัวจบ และ ขอขอบคุณที่ทุกคิดถึงกันฝากผลงานด้วยครับ”

“ต่าย อรทัย” เจอโควิดพ่นพิษ ชีวิตลำบาก ผันตัวจากนักร้องดังสู่แม่ค้าออนไลน์

นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง ต่าย อรทัย  ที่วันนี้จะมาเปิดใจครั้งแรกถึงความรักสุดช้ำที่ทำให้เข็ดถึงขั้นปิดตายเลยหรือเปล่า พร้อมเผยวิกฤตโควิด-19 ทำพิษต้องผันตัวเองมาเป็นแม่ค้าไลฟ์สดขายของออนไลน์ ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่อง วัน31 ที่มีพีเค ปิยะวัฒน์ และชมพู่ ก่อนบ่าย เป็นพิธีกรดำเนินรายการ
ช่วงโควิดลำบากไหม?
ต่าย : ตอบได้ตรงๆ เหมือนทุกคนเลย ลำบาก เพราะว่าตั้งแต่รอบแรกแล้ว เราก็หวังว่าปลายปี ต้นปีเราจะเริ่มมาลุยงานกันต่อ ลุยต้อได้แค่ 2 เดือน ก็กลับมาเหมือนเดิม ยังไม่ได้เก็บค่าทำบ้านคืนเลย
ทำบ้านด้วย?
ต่าย : เมื่อต้นปีก่อนที่โควิดจะมา เราเริ่มรีโนเวทบ้านไปแล้ว แล้วเราก็หยุดไม่ได้ เพราะสัญญาต่างๆ มันลงไปแล้ว
ทุกวันนี้ยังต้องจ่ายค่ารีโนเวทบ้านอยู่ไหม?
ต่าย : บ้านมันเหมือนบาน ตอนนี้ยังไม่จบเลย
นอกจากทำบ้าน งานไม่มีแล้ว ลูกน้องก็ต้องแบกภาระอีก?
ต่าย : ใช่ค่ะ จริงๆ เราก็เป็นบริษัทเล็กๆ บริษัท ดอกหญ้า เราไม่ได้รับผิดชอบเงินเดือนของแดนซ์เซอร์ คือแดนซ์เซอร์จะเป็นฟรีแลนซ์แต่ไหน แต่ไรอยู่แล้ว ก็จะมีแม่บ้านก็เป็นญาติๆ กัน น้องชายอีก 2 คนขับรถ รถชุดกับรถตู้ให้ต่าย แล้วมีพี่เจี๊ยบ แล้วน้องสาวอีกคนนึง ก็ประมาณ 6 คน
เดือนนึงเท่าไหร่ สำหรับค่าตัว 2 คนนี้?

ต่าย : อันนี้ยังไม่รวมพ่อกับแม่ และค่าใช้จ่ายในบ้าน ตายตัวเลย อยู่ที่ 2 แสนต่อเดือน เราก็พยายามเซฟ เรียกทุกคนมาคุยว่าเราขอลดได้ไหม ทุกคนยินดีมากเพื่อที่จะประคองทุกอย่างไปด้วยกัน คือในบ้านเราทานข้าว แล้วไปซื้อกับข้าวที่ตลาด ก็ทำกินเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ค่อยได้ออกไปซื้อ หรือนั่งทานข้างนอก
จุดนี้ถือว่าลำบากที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยมีมาไหม?
ต่าย : ลำบากไหม สุดๆ นะ เพราะว่าเราไม่รู้ว่ามันจะไปจบที่ตรงไหน เราไม่เห็นเลยว่าปลายอุโมงค์มันอยู่ที่ตรงไหน เรารู้ว่าเรามีเป้าหมายเดียวกัน ทุกคนทำทุกอย่างตามมาตรการ แล้วก็ทำมาจนสุดแล้ว จนตั้งคำถามกับตัวเองว่ามันมีอะไรอีกไหมที่เราต้องช่วยกัน ถ้าไปอีกสัก 1-2 ปี ถ้าเรายังไม่มีงานคิดว่าสายป่านที่เรามีมันต้องขาดแน่นอนเลย
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะรีโนเวทบ้านไหม?
ต่าย : ตอนนั้นหลังคารั่ว ทุกครั้งที่ฝนตกเราต้องวิ่งเอาถังไปรอง จริงๆ มันตัดสินใจมา 4-5 ปี ถือเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตเลย ถึงได้ตัดสินใจทำ ทีนี้ถ้าเรารู้ว่ามีโควิดอาจจะคิดว่าเปลี่ยนแค่หลังคาก็พอ
ค่ารีโนเวทเท่าไหร่?
ต่าย : มันก็หลักล้านอยู่แล้ว แต่ขอไม่พูดตัวเลขว่ากี่ล้าน
ตอนนี้เปลี่ยนอาชีพไลน์สดขายของ ขายอะไรบ้าง?
ต่าย : เริ่มแรกเลยขายเสื้อผ้าของตัวเองนี่แหละ เสื้อผ้าการทำงาน แล้วเสื้อผ้าที่เราใส่ ที่ไม่ค่อยได้ใส่แล้วก็รื้อออกมาไลฟ์แล้วเอาเงินเข้ากองทุน เมื่อปีที่แล้วที่เราเจอโควิดครั้งแรก มันก็ได้นี่นาแล้วทำไมเีาไม่ขายเลยล่ะ ก็หยุดเงินกองทุนพอแล้ว ในตู้ไม่มีเสื้อผ้าให้ขายแล้วก็เลยคิดกับน้องว่าเราเอาอันนี้มาขายไหม แล้วต่อเดือนจะต้องขายให้ได้เท่าไหร่มันถึงจะโคฟเวอร์ค่าใช้จ่ายของเรา ก็ทำกันมาปีกว่าแล้ว
ตอนนี้มีอะไรบ้าง?
ต่าย : ตอนแรกน้ำพริกกากหมูฝอย หยองกรอบ หยองนุ่ม ขายหมดเลย เราก็ขายแล้วดูตลาดไปเรื่อยๆ ว่าอะไรที่ขายดีที่สุด ก็เหลือแค่อย่างเดียว น้ำพริกกากหมูฝอย แล้วตอนนี้รับขนมปั้นขลิบปลากระพง อันนี้ก็จะตอบโจทย์คนไม่มีเวลา ก็จะไลฟ์ขายประมาณนี้
ต่ายเป็นคนขี้อาย แล้วไปรวบรวมความกล้ามาจากไหน จากนักร้องมาเป็นแม่ค้าขายของในเฟซบุ๊ก?
ต่าย : เราก็ไม่รู้ว่ากล้าไหม แต่ว่าสถานการณ์มันน่าจะบีบด้วย ตอนแรกเราแค่สนุกๆ อยากเอาเงินเข้ากองทุน แต่พอทำไป ทุกคนตอบรับดี เรารู้สึกสนุก มันน่าจะมาจากนี้ แล้วเราไปดูคนอื่นเวลาเขาไลฟ์ เขาทำยังไงมันถึงจะเป็นจุดเด่นแล้วก็ไม่ต้องไปเรียนแบบคนอื่น เพราะเราทำไม่ได้
เงินที่ได้มาจากการไลฟ์ พอเลี้ยงลูกน้องไหม?
ต่าย : เกือบจะพอต่อเดือน แต่ตอนนี้ยังไม่กล้า เก็บไว้ก่อน พยายามหาจุดอ่อนอยู่ว่ามันตรงไหนที่เพิ่มรายได้ให้เรามากกว่านี้ มันเป็นต้นทุนหรือเปล่า หรือว่ากำไร
มันเป็นสิ่งที่ต่ายไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต?

ต่าย : ไม่เคยเลย จริงๆ เราอยู่ในเรื่องการขายไหม เราอยู่ แต่เราไม่ได้สต็อกสินค้า การขายขายจากตัวเรา เราขายเสียง เราขายรูปแบบการโชว์
เพราะวิกฤตอันนี้ทำให้เรามีอีกหนึ่งความสามารถ?
ต่าย : น่าจะได้เลย จนทำให้เรารู้สึกว่าอาชีพการร้องเพลง อาจจะเป็นอาชีพเสริมไปแล้วหรือเปล่าในอนาคต บางทีเราไม่รู้เลยโควิดทำให้เราเป็นอย่างนี้ คือคิดไว้ 2 ทางเลย อะไรก็เกิดขึ้นได้
แต่มันก็มีคำครหา พี่ต่ายปกติไม่พูด แต่ยอมมาพูดขายของแบบนี้ตกอับหรือเปล่า จะบอกอะไรกับคนที่คิดแลบนี้บ้าง?
ต่าย : เราห้ามไม่ได้เลย ความคิดของแต่ละคนมันเยอะกว่านี้ เราไม่อยากไปโฟกัสที่ตรงนั้น เพราะว่าชีวิตเราไม่ได้มีแค่เราคนเดียว เรามีพ่อ แม่ เพื่อนพ้อง น้องพี่ แล้วก็ครอบครัวของเราอีก ซึ่งถ้าเราลำบากใครจะช่วยเหลือเราถ้าเราไม่ช่วยเหลือตัวเองก่อน สู้ในทุกวันให้ได้
รายได้ส่วนนึงที่ได้จากตรงนี้ก็เอาไปช่วยโรงพยาบาลสนามด้วย?
ต่าย : เริ่มตอนแรกเลยคือโรงพยาบาลสนามที่หนองจอก ล่าสุดก็ไปที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ที่ธัญบุรี อันนี้ส่วนนึงจากที่ตัวเองขายก็ไม่ได้เยอะมาก แต่ว่ามีเงินกองทุนที่แฟนเพลงเคยร่วมกิจกรรมเข้ามาแล้วเราเก็บไว้ แล้วเราก็แบ่งออกมา เขาขาดเหลืออะไรเราก็โทรไปถามก่อน เราก็ซื้อแค่จำนวนนั้นไปมอบ ทีนี้เมื่อ 2 วันที่แล้ว เราได้เห็นพี่ๆ เพื่อนๆ โพสต์แล้วเรารู้สึกตกใจ บ้านเราติดชายแดนแล้วไม่คิดว่ามันจะแพร่ไปขนาดนั้น คิดว่าในตัวจังหวัดอุบลฯก็พอแล้ว คิดถึงพ่อกับแม่มาก เราไม่ได้กอดพ่อกับแม่มานานมาก แล้วเราเลยถามไปว่าทำตรงไหน เราไม่รู้ว่าเราจะช่วยได้ทั้งหมดหรือเปล่า แต่เราจะช่วยเป็นสิ่อกลางให้  มีเงินกองทุนอีกก้อนสุดท้าย แต่มันไม่พอ ก็เลยโปรโมทไปในแฟนเพจ จะเปิดรับบริจาคถึงสิ้นเดือนนี้แล้วจะซื้อข้าวของไปมอบ
พี่ต่ายให้กำลังใจคนที่ประสบปัญหาโควิดในช่วงนี้หน่อย?

ต่าย : เป้าหมายเดียวกันเลยค่ะทุกคน ตอนนี้เราอาจจะพูดลำบาก แต่อยากให้ทุกคนที่ยังรอดปลอดภัยอยู่ ขอให้ทุกคนดูแลตัวเองให้แข็งแรง และเข้มแข็งในสถานการณ์นี้นะคะ เชื่อว่าสิ่งที่เรามองจุดเดียวกันจะต้องไปถึงวันนั้นให้ได้ แต่ว่าวันนี้ทุกคนต้องแข็งแรงไว้ก่อน ขอเป็นกำลังใจให้สำหรับทุกครอบครัวเลย
ต้นปีโพสต์ภาพกระต่ายมีน้ำตาเกิดอะไรขึ้น?
ต่าย : ก็มันเป็นอะไรที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ก็คือเลิกกับแฟน ตรงๆ เลย  เราก็รู้สึกว่าคนนี้แหละ เราก็คิดว่าเราดูดีแล้ว รู้สึกมั่นใจ ด้วยความที่ฟิลมันเป็นเพื่อน คือเข้าใจมุมความรู้สึกทุกอย่าง เราไม่คิดว่าเราจะไปเห็นในสิ่งที่เราไม่คาดคิดมาก่อน
เกิดอะไรขึ้น?
ต่าย : เราคิดว่าเราดูดีแล้ว แต่ด้วยความที่เราไม่ตาม ไม่ไปสืบดูหรืออะไรให้รู้ มุมนี้ไม่อยากจะโทษใคร เพราะคิดว่าต่างคนต่างต้องมีเหตุผลของใครของมัน ของต่ายเองคิดว่าเราไม่ไปยุ่งเรื่องส่วนตัวอะไรมากมาย เราคิดว่ามันดีที่สุดแล้วสำหรับคนเป็นแฟน แต่ว่าการที่เราสบายเกินไป เราอาจจะไม่ได้เห็นข้อเท็จจริง
ที่เราบอกว่าเราไม่ชอบตาม ไม่ชอบสืบ แต่สิ่งที่เรารู้มาคืออะไร?
ต่าย : ก็เห็นในสื่อ คือปีใหม่พอดี แฟนของเขาโพสต์ว่าตื่นได้แล้ว กินเยอะแล้ว ฉลองหนักไปอะไรอย่างนี้
แฟนของเขา แล้วเราก็แฟนไม่ใช่เหรอ?
ต่าย : ใช่ค่ะ ก็เลยคิดว่าต่างคนต่างมีเหตุผล แต่ต่ายก็คิดว่าโอเค เราเห็นภาพนี้แล้ว มันแค่ไปต่อด้วยกันไม่ได้ เชื่อว่าหลายคู่ถ้าเราเจอเหตุการณ์แบบนี้เราน่าจะไปด้วยกันได้ยาก ก็เลยถอยดีกว่า ทำไมถึงโพสต์ เราอยากสร้างเดทไลน์ให้กับตัวเอง จบแล้วเราจะเริ่มต้นใหม่ เราจะต้องเข้มแข็งใหม่
แล้วเขาตามไหม?
ต่าย : ไม่แน่ใจว่าตามไหม แต่มีแว่วๆ กับพี่ที่สนิท
แสดงว่าตลอด 2 ปีกว่าเราคิดว่าเราเป็นคนเดียวในชีวิตเขา?

ต่าย : ประมาณนั้น เราก็รู้สึกมั่นใจ เราอาจจะมีเคลือบแคลงใจ แต่มันเป็นมุมของผู้ชายอาจจะมีเหตุผล เราก็คิดว่าคงเป็นเรื่องอื่น ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องนี้
ตอนนั้นความรู้สึกของเราเสียใจหรือเสียดาย?
ต่าย : ไม่ได้เสียดายขนาดนั่น คือเสียใจสุดๆ เพราะเราคิดว่าใช่แล้ว เราไม่ใช่เด็กๆ เราก็คุยกันด้วยเหตุผลและความรู้สึกที่มันมีให้กัน มันไม่ได้ลุ่มหลง มันเป็นเรื่องที่เราวางอนาคต คือคุยกันไม่ใช่คุยกันเล่นๆ ค่อนข้างจริงจัง เราเสียใจ การให้กับการรับมันไม่เท่ากัน เลยมีความรู้สึกมันไปต่อด้วยกันยาก
รู้สึกว่าต่ายยังทำใจไม่ได้?
ต่าย : คือไม่อยากโกหกทั้งตัวเองและคนอื่น ถ้าเรามีโอกาสได้พูด เราจะไม่พูดเรื่อยเปื่อยอยู่แล้ว อย่างน้อยเราได้ระบายในสิ่งที่เราทุกข์ มันจะช่วยเยียวยาเราได้ส่วนนึงไม่โกหก วันไหนมี่รู้สึกว่าคิดถึงก็บอกว่าคิดถึง วันไหนแย่ก็คือแย่ คืออยู่กับตัวเองให้ได้สุดๆ ไปเลย ก็ทำให้เราเข้มแข็งมาจนถึงตอนนี้ได้ ก็เชื่อว่าการที่เราไม่โกหกความรู้สึกตัวเอง
ตอนที่รู้ความจริงมันจุกอก เราจมกับตรงนั้นเยอะไหม นานไหม?
ต่าย : มันจมทุกวันนะ แต่เราอยากออกมาจากความรู้สึกที่มันทุกข์ให้ได้ คือรักตัวเองอยู่แล้ว ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายตัวเองเลย มันแย่ก็คือแย่ ต้องนอนนะ ต้องกินข้าว ต้องตื่นมาแล้วต้องอาบน้ำ ต้องออกกำลังกาย ต้องดูแลตัวเอง ต้องหากิจกรรมทำ อย่างน้อยเราก็ไม่ได้จมกับความรู้สึกนั้นตลอดเวลา กลับมาตอนกลางคืนมีนอนร้องไห้ไหม ร้อง ก็เราจริงใจ จริงจัง ถ้ามันเจ็บแล้วไม่ร้องไห้ ฟูมฟาย คงไม่ใช่คน ก็บอกตัวเองแบบนี้ เอาให้มันสุดๆ ไปเลย
ตัดได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นแบบนี้ พี่ตายมีไปส่อง ไปมองบ้างไหม?
ต่าย : ถ้าบอกว่าไม่เลยก็โกหกตัวเองอีก มีค่ะ แต่พยายามไม่ เพราะว่าเราตัดสินใจแล้ว พยายามบอกตัวเองบ่อยๆ ใช้ชีวิตของตัวเองให้ดี พยายามตั้งเป้าหมายของตัวเองให้ชัดเจนว่าเราอยากเจอคนที่ชัดเจน อยากเจอคนที่จริงมจกับเราจริงๆ
แสดงว่าจากวันนั้นที่เราตัดแล้ว ไม่เคยเจอเขาเลย?
ต่าย : ไม่เคยเจอเลย ไม่เคยได้คุยเลย เพราะว่าตัวเองคือตัดเลย ไลน์บล็อก มือถืออะไรก็นี่หมดเลย แต่ถ้าจะติดต่อมาถามว่าในโลกใบนี้มันทำยากไหม มันไม่ยากหรอก แต่ว่าตั้งแต่วันนั้นมาก็ไม่ได้คุย
ผ่านมา 6-7 เดือนแล้ว ให้อภัยเขาได้ยัง?
ต่าย : เอาจริงๆ ไม่โกรธนะ คนทุกคนต้องมีชีวิต มีความคิด มีเหตุผลเป็นของตัวเอง แสดงว่าเขาต้องมีอะไรบางอย่างแหละ แต่ของเราก็มีเหตุผลของเราว่าเราไปไม่ได้ แค่นั้นเองแล้วถอยออกมาเริ่มต้นใหม่
ในมุมของพี่ต่าย อะไรที่ทำให้ลุกขึ้นมาได้ไว แล้วเข้มแข็งได้ไว มีกำลังใจตรงไหน?
ต่าย : คือตัวเองด้วย คือชีวิตเราก้าวมาถึงขนาดนี้ ความรักสำคัญไหม สำคัญ เพราะว่าเป็นแรงผลักให้ชีวิตเรา มันเป็นหระบวนการอีกกระบวนการนึงที่ช่วยนำพาให้เราไปได้ในหลายๆ เรื่อง ไม่ใช่ทำงานหรือมีชีวิตอยู่ อาจจะทำแค่งานหรือความทุ่มเทอย่างเดียว คือความรักมันก็เป็นแรงผลักอย่างนึง แล้วก็พ่อ แม่ พี่น้องทุกคน ไม่ว่าอะไรเลย ทุกคนถามทุกวันว่านอนหลับไหม เป็นไงบ้าง กินข้าวได้หรือเปล่า เขาก็เสียใจกับเรา แต่เขาไม่ได้มานั่งฟังเราทุกเรื่อง แต่ว่าเขาถาม ไม่ใช่แค่นี้นะ ยังมีอีกหลายคนที่รักเรา เราก็ต้องรักตัวเองอย่าทำให้จม
ความรักครั้งนี้ถือว่าเจ็บสุดไหม?

ต่าย : สุดค่ะ
เขาให้บทเรียนอะไรเราบ้าง?
ต่าย : ให้ค่ะ หวังว่าหลายๆ คนเจอความรักอยู่ อาจจะได้ประโยชน์อะไรจากสิ่งที่เล่าให้ฟัง เราคิดว่าดูดีแล้ว มันอาจจะยังดูไม่ดีมากพอ ถ้าโอกาสครั้งหน้าเราได้เจอใคร หรือเราอยากจะเรียนรู้ใคร มันอาจจะมี 5-10 เราอาจจะรู้แค่ 5 ก็ได้ เราไม่ไปถึง 10 ที่มันควรจะเป็น มันทำให้เราเจอใครที่มาทักเราหรือพูดกับเรา แล้วมันมีกลิ่นอายที่จะไปแบบนั้น เราก็จะดูให้ดีมากขึ้น ตั้งใจ ใส่ใจอารมณ์ความรู้สึกตรงนั้นมากขึ้น
ตอนนี้เป็นสาวโสด 6-7 เดือนแล้ว เริ่มเปิดใจหรือยัง?
ต่าย : ก็ไม่ได้ปิดนะคะ แต่ว่าอย่างที่บอกมันเจ็บสุดๆ แล้ว เราอยากดูแลตัวเอง โฟกัสกับเรื่องโควิดเนี่ยเราจะอยู่กันรอดได้ยังไงอันนี้มากกว่า
ชีวิตเราอันดับ1 ความรักมาอันดับ2 ตอนนี้?
ต่าย : ค่ะ

แล้วถ้ามีผู้ชายผ่านเข้ามา สิ่งแรกที่เราจะโฟกัสผู้ชายคนนี้คืออะไร?
ต่าย : ความชัดเจนค่ะ แต่ความชัดเจนทุกวันนี้บางทีพูดแค่ปาก หรือตามด้วยสื่อมันก็หลอกลวงกันได้ เรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ค่อนข้างเยอะมากๆ
จากนี้เราต้องสกรีนคนที่เข้ามาเยอะขึ้นไหม?
ต่าย : น่าจะต้องมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
ณ ตอนนี้เราต้องดูอะไรบ้าง?
ต่าย : คงต้องดูที่สถานะก่อนแหละ แล้วดูนิสัย ทัศนคติต่างๆ องค์รวมต่างๆ การทำงาน ความคิดต่างๆ ทุกอย่าง มันค่อยๆ ไป คิดว่ามันคงไม่ตอบโจทย์เราแค่เรื่องสองเรื่อง ในปลายทางเราอยากใช้ชีวิตร่วมกับคนที่ตรงกับเราในทุกเรื่อง มันก็ต้องมีทุกเรื่องที่ไปด้วยกันได้
อยากมีลูกไหม?
ต่าย : อยากมี แต่คิดว่าจะทันไหม ไม่น่าจะทันแล้ว
แล้วสเปคภายนอกมีไหม?
ต่าย : เป็นคนไม่เคยตั้งสเปคอะไรเลย ที่เราเลิกไปเราก็ไม่ได้ตั้งสเปคว่าคุณต้องสูงหล่อ รวย ไม่เคย
ติดตามชมรายการ “คุยแซ่บShow”  ทุกวันจันทร์-วันศุกร์  เวลา13.40-14.40 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow

เวเบอร์ ตราตุ๊กแก และ ยิปรอค ร่วมใจสู้โควิด-19

ระดมแจกข้าวกล่องและถุงยังชีพกว่า 4,000 ชุดแก่แคมป์ก่อสร้าง 10 แห่งทั่วกรุงเทพฯ

เวเบอร์ ตราตุ๊กแก  ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กาวซีเมนต์ กาวยาแนวและเคมีภัณฑ์ก่อสร้าง และ ยิปรอค ผู้ผลิตและจำหน่ายแผ่นยิปซัม ปูนยิปซัมและวัสดุโครงคร่าว สองบริษัทภายใต้กลุ่มบริษัทแซง-โกแบ็ง ประเทศไทย จัดกิจกรรมเพื่อสังคม “Saint-Gobain We Care ร่วมใจสู้โควิด-19” ระดมมอบถุงยังชีพและข้าวกล่องกว่า 4,000 ชุดให้แก่แคมป์คนงานก่อสร้าง 10 แห่งทั่วกรุงเทพฯ หลังจากมีคำสั่งปิดแคมป์คนงานก่อสร้างเป็นเวลา 1 เดือน เพื่อช่วยเยียวยาความเดือดร้อนและส่งมอบกำลังใจให้แก่บรรดาผู้ประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้าง พร้อมกันนี้ กลุ่มบริษัทแซง-โกแบ็ง ในประเทศไทย ยังมอบกระจกเอส ชีลด์ (S-shield) ให้กับโรงพยาบาลศิริราช จำนวน 100 ชุด เพื่อใช้ติดตั้งปกป้องบุคลากรทางการแพทย์ในบริเวณสถานที่ปฏิบัติงานให้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้ทุกภาคส่วนของสังคมสามารถผ่านพ้นวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่หลวงนี้ไปพร้อมกัน

คุณศิวารยา ศรีติรัตน์ กรรมการผู้อํานวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แซง-โกแบ็ง ประเทศไทย กล่าวว่า “หลังจากโควิดกลับมาแพร่ระบาดอย่างหนักและมียอดผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้รัฐบาลออกมาตรการปิดแคมป์คนงานเป็นระยะเวลา 1 เดือนเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโรค ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ต่อชีวิตความเป็นอยู่ของกลุ่มผู้ปฏิบัติงาน เวเบอร์ ตราตุ๊กแก และ ยิปรอค ภายใต้กลุ่มบริษัท แซง-โกแบ็ง ผู้นำนวัตกรรมวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างตระหนักถึงความเดือดร้อนของเพื่อนร่วมอุตสาหกรรม จึงจัดทีมออกสำรวจแคมป์คนงานในเขตกรุงเทพฯ เพื่อจัดหาอาหารและถุงยังชีพให้กับกลุ่มคนงาน รวมถึงการเลือกซื้อข้าวกล่องจากร้านค้ารายย่อยที่ประสบปัญหาจากวิกฤติโควิด-19 เพื่อเป็นการกระจายรายได้ให้กับผู้ที่เดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลืออีกทางหนึ่ง” 

คุณศิวารยา กล่าวต่อว่า “นอกจากความเดือดร้อนที่แคมป์คนงานได้รับจากสถานการณ์โควิดนี้แล้ว บริษัทยังตระหนักถึงความปลอดภัยของบุคลากรทางการแพทย์ กลุ่มบริษัทแซง-โกแบ็ง ในประเทศไทย จึงได้ร่วมมอบฉากกั้นกระจกนิรภัยเอสชีลด์ (S-shield) ที่ทำมาจากกระจกเทมเปอร์มาตรฐานความปลอดภัยสูง ซึ่งเป็นสินค้าจากแซง-โกแบ็ง กลาส ให้แก่โรงพยาบาลศิริราชจำนวน 100 ชุด สำหรับนำไปติดตั้งบริเวณหน้างานเพื่อปกป้องบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าของเราให้ปลอดภัยจากเชื้อโควิด-19 ตามวัตถุประสงค์ในการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัท แซง-โกแบ็ง ที่ว่า “MAKING THE WORLD A BETTER HOME” คือการทำให้โลกของเราเป็นบ้านที่น่าอยู่ยิ่งขึ้น ซึ่งบริษัทถือว่าทุก ๆ คนในสังคมล้วนอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่หลังเดียวกัน โดยเราไม่ได้ดูแลเฉพาะคนที่อยู่ในบ้านของเรา แต่ยังดูแลทุกๆคนที่อยู่รอบๆเราด้วย ด้วยเหตุนี้ บริษัทจะยังคงยืนหยัดส่งต่อความช่วยเหลือต่อไป เพื่อสร้างรอยยิ้มแก่พี่น้องชาวไทยให้สามารถร่วมฝ่าวิกฤติโควิด-19 ไปด้วยกัน”

นางสุภา โรจนสังวร เจ้าของร้านขายข้าวแกงย่านวิภาวดี กล่าวว่า “สถานการณ์โควิด-19 ทำให้ยอดขายลดลงมาก ยิ่งในช่วงนี้ที่รัฐบาลสั่งล็อกดาวน์กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ทำให้ร้านค้าเงียบเหงากว่าปกติ ในฐานะแม่ค้าก็ได้แค่หวังว่ามาตรการครั้งนี้จะช่วยลดจำนวนผู้ติดเชื้อได้อย่างโดยไวและให้สถานการณ์กลับเป็นปกติเร็วที่สุด ต้องขอขอบคุณกลุ่มบริษัท แซง-โกแบ็ง ประเทศไทย ที่จัดทำกิจกรรมดี ๆ แบบขึ้นมา เพื่อช่วยกระจายรายได้มาสู่ร้านค้ารายย่อยอย่างพวกเราค่ะ”

กิจกรรม “Saint-Gobain We Care ร่วมใจสู้โควิด-19” จัดขึ้นโดยความร่วมมือของเวเบอร์ ตราตุ๊กแก และ ยิปรอค ได้ทำการเลือกซื้อข้าวกล่องจากร้านค้ารายย่อยที่ประสบปัญหาจากวิกฤติโควิด-19   เพื่อเป็นการกระจายรายได้ให้กับชาวบ้านที่เดือดร้อนอีกทางหนึ่ง  พร้อมทั้งแจกถุงยังชีพที่ประกอบไปด้วยข้าวสาร ปลากระป๋อง หน้ากากอนามัย และเสื้อช่าง ให้กับแคมป์คนงานก่อสร้าง 10 แห่งทั่วกรุงเทพฯ ได้แก่ แคมป์คนงานอ่อนนุช 17, แคมป์คนงานพระราม 3, แคมป์คนงานสุขุมวิท 36, แคมป์คนงานลาซาล, แคมป์คนงานสุขุมวิท 50, แคมป์คนงานบางซื่อ, แคมป์คนงานแจ้งวัฒนะ, แคมป์คนงานเจริญนคร, แคมป์คนงานพระราม 9 และแคมป์คนงานพระโขนง

“เจาะใจ” บทเรียนสุดหนักอึ้ง “หนุ่ม KALA”

รายการ “เจาะใจ” ในสัปดาห์นี้พบกับการกลับมาเยือนรายการอีกครั้งในรอบ 5 ปี  ของ “หนุ่ม KALA”  หรือ “ณพสิน  แสงสุวรรณ”  กับบทเรียนชีวิตที่ยังคงเข้มข้นไปด้วยเรื่องราวแห่งความทุกข์และสุข ซึ่งเค้าคนนี้ได้ผ่านมาหมดแล้ว ทุกอุปสรรคเป็นบทเรียนแล้วพลิกเปลี่ยนมุมมองปรับมาเป็นบทเรียนบทใหม่ของการใช้ชีวิตได้อย่างน่าประทับใจ  โดย “ดู๋-สัญญา คุณากร”  พาเปิดแนวคิด  ถึงบทเรียนอันมีค่า จากชีวิตในวันที่ติดลบ สู่ชีวิตบทบาทใหม่  เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ห้ามพลาดในรายการ“เจาะใจ” วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม 2564 เวลา 22.00 น. ทางช่อง9 MCOT HD (หมายเลข30)

           โดย “หนุ่ม KALA” เล่าว่า “ชีวิตคนเราเป็นอะไรที่ไม่แน่นอน  ชีวิตผมได้เปลี่ยนไปมากในระยะเวลาอันสั้น ๆ หลังจากที่ผมได้มาเป็นศิลปินเดี่ยว แม้ว่าตอนแรกผมจะกลัวมาก ๆ ในการก้าวออกมาด้วยตัวเอง ผมก็รู้สึกว่านี้แหละคือแนวทางชีวิตที่เหมาะที่สุดสําหรับผม   อาชีพนักร้องของผมก็เหมือนกัน  บัตรคอนเสิร์ตของผม หมดตั้งแต่รอบแรก ๆ เรียกว่าพีคเลยก็ได้ แต่ในที่สุดแล้วเหมือนทุกอย่างเริ่มพังลง เมื่อผมโดนข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์  ทุกเช้าผู้จัดการจะคอยเช็คว่ามีหมายจับเราที่ไหนบ้าง เพื่อจะได้ไปรายงานตัว  ถ้าความสำเร็จมันทำให้สุขสุดๆ คดีความมันคือทุกข์สุด ๆ  ช่วงที่โดนคดี 2 ปีใช้ชีวิตอยู่ระหว่างเวทีคอนเสิร์ตกับโรงพักตลอด จนพูดกับผู้จัดการว่า กราบขอบคุณพื้นดินเลย ถ้าวันนั้นผมไม่ได้บวช วันนี้ผมบ้าแน่นอน เวลาที่มีคนปลอบใจเราว่า  “ไม่เป็นไรหนุ่ม..เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” หรือเวลาเราพูดคำนี้เฉยๆ มันจะรู้สึกแบบว่ามันไม่เห็นมีคุณค่าเลย แต่พอวันหนึ่งที่เราเจออะไรมามากๆ คำนี้มันใช้กับผมได้ทุกครั้ง  อย่างบางทีวันนี้เครียดจนหัวจะแตก  เราจะบอกตัวเองว่า “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป…ใจเย็นๆ” 

เป้าหมายในชีวิตตอนนี้คือ อยากแข็งแรงเพื่อครอบครัว    ตอนนี้ลูกขวบกว่าแล้ว  มันก็เลยรู้สึกว่าเราต้องแข็งแรง   นอกจากความมั่นคงทางการเงิน มันต้องมีร่างกายที่แข็งแรง ถ้าเราเป็นอะไรไป ลูกจะทำยังไง  พยายามเลี้ยงลูกให้ดีให้เขาแข็งแรงจากในบ้าน    เพราะข้างนอกโหดร้ายกว่าในบ้านเยอะ  ที่เราผ่านมาได้ ผมอยากขอบคุณตัวเองที่ยังสู้ในวันนั้น และไม่ยอมแพ้ และขอบคุณทุกคนรอบๆ ตัวที่คอยอยู่เคียงข้างและส่งกำลังใจให้ผมตลอด”

“ตุ๊กตา อุบลวรรณ” ย้อนเล่าชีวิตสุดรันทด เป็นลูกคนงานก่อสร้าง ลำบากหนักแย่งข้าวหมากิน

เปิดชีวิตต้องสู้ของอดีตนางเอกยุค90  “ตุ๊กตา อุบลวรรณ” ที่วันนี้มาเล่าชีวิตในวัยเด็กสุดแสนจะรันทด คุณพ่อ คุณแม่ ทำงานก่อสร้าง เคยรับจ้างดูดส้วม พับถุงกล้วยแขกขาย แสนลำบากถึงขั้นแย่งข้าวหมากิน และเผยเส้นทางในวงการบันเทิงที่ยาวนานกว่า 28 ปี พร้อมอัปเดตอาการป่วยของคุณพ่อหลังป่วยด้วยเส้นเลือดในสมองตีบ ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่องวัน 31 ที่มีหนิง ปณิตา และชมพู่ ก่อนบ่าย เป็นพิธีกรดำเนินรายการ
อาการป่วยของคุณพ่อ ณ ตอนนี้มีอาการขาลีบ?

ตุ๊กตา : ณ ปัจจุบันนี้คือขาพ่อลีบลง คือเล็กกว่าแขนตุ๊กตาอีก แล้วก็ยังรักษาเส้นเลือดที่ขาตีบไม่ได้ เนื่องจากว่าพ่อเป็นหลายโรคมาก ตอนนี้ขาจะต้องเอาไว้สุดท้าย ส่วนที่สำคัญที่สุดตอนนี้ต้องกลับมาที่สมองอีกครั้ง ต้องเล่าให้ฟังก่อน ก่อนหน้านี้วันที่16 มกราคม พ่อเส้นเลือดในสมองตีบทางด้านขวา เลยทำให้กล้ามเนื้อด้านซ้ายอ่อนแรง ปากเบี้ยว น้ำลายไหล ตกใจมากไปส่งโรงพยาบาล ถ้าวันนั้นส่งไม่ทันภายใน 3 ชั่วโมง พ่อก็จะนอนเป็นผักเลย แต่ว่าโชคดี ตุ๊กตาต้องขอบคุณธัญญ่า เพราะตอนนั้นทำอะไรไม่ถูก โทรหาธัญญ่า เพราะมันดึกแล้ว แล้วธัญญ่าก็ประสานกับทางโรงพยาบาลให้ ก็เลยทำให้พาพ่อไปฉีดยาทัน ก็เลยกลับมาพูดได้ แต่ช้าๆ ลิ้นจะไม่ปกติเหมือนเรา ออกจะแข็งๆ นิดนึง ตอนนั้นทราบแล้วว่าเส้นในสมองตีบ แต่ไม่ได้ตีบแค่เส้นเดียว แต่จริงๆ มีหลายเส้น แต่เส้นนั้นมันตียถึงขั้นสุดแล้ว ตอนนั้นเราก็พยายามรักษา แล้วก็ทำกายภาพ แล้วก็ทำทีซีสแกนทั้งตัว ปรากฎว่าสิ่งที่เจอลำดับต่อมา คือเส้นเลือดหัวใจตีบ เส้นเลือดหัวใจของคนเรามี 4 เส้นใช่ไหม พ่อตีบ 3 เส้น เส้นนึงตีบ 60 % เส้นนึงตีบ 70 % อีกเส้นตีบ 90%  หมอเลยรีบทำเส้นที่ตีบ 90% ก่อน เส้นสมองยังไม่จบนะ กลายเป็นว่าเจอที่หัวใจ แล้วมาเจอเส้นเลือดที่ขาพ่อตีบ ถ้าพ่อไม่ทำกายภาพ หรือไม่ดูแลตัวเอง หมอใช้คำว่าต้องตัดขาพ่อ
ก่อนหน้านี้คุณพ่อเองก็ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ แต่สาเหตุอะไรที่ทำให้อยู่ๆ เป็นหนักขนาดนี้?
ตุ๊กตา : ต้องบอกว่า เบาหวาน ความดัน ไขมัน เป็นโรคที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม เมื่อมันเป็นแล้ว มีนสามารถเป็นจุดเริ่มต้นของโรคทุกโรค การเป็นเบาหวานน้ำตาลจะทำให้เลือดเนือด แล้วเลือดจะไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายไม่ได้
ในฐานะที่เป็นลูก เห็นคุณพ่ออาการหนักขนาดนี้รู้สึกยังไงบ้าง?

ตุ๊กตา : คิดอย่างเดียวว่า ยังไงก็ได้ขอให้ไม่เสียพ่อไป ต้องเล่าก่อนว่าเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว พ่อเคยหัวใจหยุดเต้นไปแล้วครั้งนึง พี่พาไปส่ง ICU ทันแล้วปั๊มหัวใจขึ้นมา ตอนนั้นก็เกี่ยวกับเรื่องเบาหวาน ความดันนี่แหละ แต่พอมันผ่านมา 10 กว่าปี เราก็คิดว่ามันน่าจะไม่มีอะไรแล้ว แล้วอยู่ๆ วันนึงพ่อปากเบี้ยว น้ำลายไหล เราเลยรู้สึกแบบเกิดอะไรขึ้น อีกแล้วเหรอ ตอนแรกคิดว่าเป็นที่หัวใจ แต่ปรากฎมันเป็นที่สมอง ซึ่งมันแน่มาก ดีที่เป็นซีกขวา ถ้าเป็นซีกซ้าย กล้ามเนื้อด้านขวาส่วนใหญ่ที่สำคัญของคนจะอยู่ฝั่งขวา อันนั้นต่อให้ฉีดยาเข้าไปก็ไม่สามารถกู้พ่อคนเดิมกลับมาได้แน่นอน ต้องนอนเป็นผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต
ตั้งแต่มกราคม จนถึงวันนี้ครึ่งปี มันดีขึ้นบ้างไหม?
ตุ๊กตา : มันไม่ดีขึ้น มันแย่ตรงที่ว่าเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ที่ผ่านมา อยู่ๆ พ่อก็ปากเบี้ยวอีกครั้ง ย้ำลายไหล ล้มในห้องน้ำแต่ไม่แรง ก็รีบพาพ่อไปห้องฉุกเฉิน ซึ่งมันมีสัญญาณเตือนมาอีกว่าสมองเส้นอื่นๆ ที่มันพร้อมจะตีบตามมา น่าจะส่งอาการมาแล้ว ก็เลยพาส่งห้องฉุกเฉินเสร็จ หมอก็ช่วยพ่อขึ้นมา แล้วก็นัดทำ MRI สมองอย่างละเอียดในวันที่ 5 สิงหาคมนี้
ตุ๊กเป็นคนเข้มแข็ง น้ำตาไม่ค่อยมี แต่รอบนี้เห็นว่าร้องไห้เยอะมาก?
ตุ๊กตา : ใช่ค่ะ เพราะวันไปส่งพ่อที่โรงพยาบาล คุณหมอให้เซ็นใบว่าถ้าฉีดยาเข้าไป มันจะมีหลทำให้เลือดในสมองออก 2-3 % แล้วถ้ามันออกพ่ออาจจะเสียชีวิต แล้วต้องยอมรับที่จะเซ็นว่าในการรักษานี้ถ้าพ่อเสีย ต้องไม่โทษทางโรงพยาบาล อันนี้เป็นภาษาบ้านๆ นะคะ จริงๆ เขาจะมีคำที่สวยงามกว่านี้ วันนั้นร้องไห้แบบที่ไม่เคยร้องมาก่อน เพราะกลัวการเสียพ่อ ตั้งแต่ตุ๊กตาเข้าวงการมา ชีวิตมีแค่พ่อกับแม่ แล้วตัวเองไม่ได้มีลูกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นความสำคัญทั้งหมดในชีวิตคือเขา เลยอยากจะดูแลเขาให้ดีที่สุดเท่าที่ชีวิตคนคนนึงจะทำได้
ปัจจุบันวิธีประคองการรักษา และความรู้สึกเราเป็นยังไงบ้าง?

ตุ๊กตา : พยายามค่ะ แต่ทุกคนรู้นะคะว่าพ่อแม่เรา ไม่ใช่เฉพาะพ่อแม่ตุ๊กตาหรอกโคตรดื้อเลย แม่อย่ากินหวานสิ กิน คนเป็นเบาหวานมันต้องอยากหวาน หรือเวลาพ่อไปหาหมอ หมอบอกว่าอย่าทำอย่างนี้นะ ครับ แต่ไม่ทำ เหมือนกันจัดยาไว้ให้พ่อ เพราะบางวันเราทำงาน เราจะจัดเป็นชุดๆ เขียนไว้ชัดเจน ก็ไม่กิน สมมติแม่หยิบให้ก็แกล้งวางลืม หรือบางทีก็กินแล้วคายทิ้ง ก็จัดให้เขาตลอดโดยที่ไม่ท้อ ต้องบอกว่าพ่อแม่ตุ๊กตาไม่ได้มีประกันนะคะ คือตุ๊กตาให้เงินพ่อแม่ไปทำประกัน พอเขาไปเขาเห็นคนรอเยอะในการตรวจสุขภาพ เขาก็กลับ แล้วบอกว่าไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็ตายทำแต่ประกันชีวิตก็พอ นี่คือคำพ่อ แม่ ไม่อยากให้ลูกต้องมาเสียเงิน ส่งทุกเดือน ทุกปี เพราะฉะนั้นสุขภาพไม่เป็นไรหรอก วันนึงมันสำคัญจริงๆ นะ ตุ๊กตาจะบอกว่า ณ วันนี้มันทำให้เรารู้ว่า ค่ารักษาทุกอย่าง ทุกบาทเยอะมาก แต่สู้ไหม โคตรสู้ เฉพาะค่ายาพ่อทุกวันนี้เดือนละ 36,000 บาท ไม่รวมค่ารักษาอื่นๆ  ส่วนคุณแม่ เส้นเลือดดำในตาอุดตันและอักเสบ ถ้าเราไม่รักษาเส้นเลือดนี้มันจะบวมขึ้นมาและบดบังการมองเห็น ไม่สามารถผ่าตัด ไม่สามารถรักษาอะไรได้เลย นอกจากใช้เข้มฉีดยา ฉีดเข้าไปในลูกตาสดๆ ครั้งนึงในการใช้เงินร้กษาดวงตาแม่เดือนละเกือบ 30,000 บาท ก็เกือบ 100,000 บาทต่อเดือน
เคยท้อบ้างไหม?
ตุ๊กตา : มันมีแต่บอกตัวเองว่าท้อไม่ได้ ถ้าเราท้อพ่อแม่จะทำยังไง ต่อให้มันรู้สึกแย่แค่ไหน จะพูดอย่างเดียวว่าจะสู้ พูดกับตัวเองว่าถ้าเราท้อ พ่อแม่เราตาย แต่ถ้าเราสู้ทุกอย่างมันต้องผ่านไปได้สิ
ตอนนี้ยุคโควิดที่มันแย่ มันมีผลเยอะขึ้นอีกไหมในการดูแล?

ตุ๊กตา : แย่ค่ะ ในเรื่องของการไปพบแพทย์ ของพ่อไปหาหมอเดือนนึงประมาณ 5 ครั้ง คุณแม่อย่างน้อย 2 ครั้ง ถามว่าโควิดกระทบไหม ในเรื่องการไปพบหมอกระทบ เพราะบางทีหมอจะต้องมีทด เขาเรียกว่าตรวจคนไข้ระยะไกล แต่ถ้าถามในเรื่องของรายได้ก็ค่อนข้างกระทบเหมือนกัน แต่ตุ๊กตาโชคดี ตรงที่ผันตัวเองมาทำเบื้องหลังในตอนนี้ให้กับเจ้าของสินค้าหลายๆ ตัวที่อยากจะทำการตลาดทีวีหรือโฆษณา ก็ยังมีเจ้าของสินค้าให้งานเรา แล้วเราทำในส่วนของเบื้องหลังตรงนี้ บางทีเราสามารถคิดสคริปต์ให้เขาได้ หรือว่าติดต่อรายการได้ ถามว่าน้อยลงไหม ก็น้อยลง แต่ยังมี เราก็พยายามบริหารเงิน มีเงินเก็บอยู่ พยายามใช้มันอย่างคุ้มค่าและประหยัดที่สุดเท่าที่จะทำได้
ถ้าคุณพ่อ คุณแม่ดูอยู่ อยากจะบอกอะไรไหม?
ตุ๊กตา : อยากจะบอกพ่อก่อนนะคะพ่อดื้อไปเถอะ พ่อดื้อแค่ไหนก็ยินดีที่จะดูแลพ่อต่อไป พ่อไม่ต้องรักตุ๊กตาก็ได้ แต่อยากให้พ่อรักตัวเองให้มากที่สุด เพราะว่าถ้าพ่อไม่ดูแลตัวเอง แล้วพ่อเป็นอะไรไป มันไม่ใช่แค่พ่อ มันคือหนูที่อาจจะตายตามพ่อไปก็ได้
เหนื่อยมากไหม?
ตุ๊กตา : เหนื่อยมาก เหนื่อยกายไม่เท่าไหร่ แต่การเหนื่อยใจ บางครั้งการที่เรามีพ่อ แม่ ที่เราต้องดูแลแล้วเขาดื้อ แล้วเราไม่สามารถดุคนเป็นพ่อแม่เราได้ 1.ด้วยความที่้ขาเป็นพ่อ แม่ เรา เราไม่สามารถว่าเขาได้ เพราะฉะนั้นมันจะเหนื่อย เพราะเราต้องคิดตลอดเวลาว่าเราจะทำอย่างไรให้เขาฟังเราโดยที่ไม่เหมือนเราไปสอนเขา เพราะสอนพ่อ แม่ ไม่ได้
เห็นว่าเด็กๆ ก็สู้มาเหมือนกัน?
ตุ๊กตา : ใช่ค่ะ  ต้องใช้คำว่าสู้ที่สุดเท่าที่จะสู้ได้เลย เพราะว่าชีวิตของตุ๊กตาเป็นแค่ลูกของคนงานก่อสร้าง กรรมกรเลย พ่อเป็นช่างไม้ แม่เป็นช่างปูน ทำงาน ในชีวิตไม่เคยมีบ้าน บ้านเป็นบ้านสังกะสีตามไซต์งานก่อสร้าง เราอยู่แบบนั้นเลยเขาย้ายไปไหน เราก็ไปที่นั่น ชีวิตวันเด็กไม่รู้จักคำว่าเล่นกับเพื่อน เพราะเราอยู่ตรงนั้นก็จะถูกสอนว่า เห็นตะปูไหม เห็นถุงปูนไหม ไปเก็บแล้วเอามาขาย ชีวิตที่อยู่ก่อสร้างคือทำแบบนั้นตลอด แล้วหลังจากนั้นที่อยู่ แล้วย้ายไปเรื่อยๆ มันมีงานอะไรก็ตามในชีวิตที่เราทำได้ เราทำ ไปรับจ้างล้างจานในมหาลัย ในโรงเรียน รับจ้างกดน้ำ หรือว่าขายน้ำแข็งใสตามงานวัด ขายผักในตลาด ขายบัวลอย ไปรับจ้างเลี้ยงลูก ทำงานบ้าน ทำทุกอย่าง แล้วพ่อแม่ไปทำอะไรก็ไปทำ หนึ่งในนั้นคือสิ่งที่สะเทือนใจจนถึงวันนี้แล้วทำให้เราสู้ก็คือการดูดส้วม สมัยก่อนไม่มีรถดูดส้วม แล้วมันจะเป็นส้วมเป็นถังๆ ตามบ้าน พ่อก็จะกระโดดลงไปในส้วม ตักขึ้นมาให้ตุ๊กตา แล้วตุ๊กตาก็รับไปเท หนอนอะ มันคือส้วม มันคืออุจาระ
ตอนนั้นกี่ขวบ?

ตุ๊กตา : ตอนนั้นไม่น่าจะถึง 10 ขวบ คือกลางวันทำก่อสร้าง กลางคืนเราต้องหาอาชีพเสริมที่คนจะไม่ทำกัน ก็คือดูดส้วม การไปตักส้วมขึ้นมาแล้วหนอนก็ไต่ตัวพ่อมาถึงเรา แต่เพราะงานนี้ทำให้เรามีเงิน
ตอนนั้นยอมทำ?
ตุ๊กตา : ยอม เพราะเราไม่มีจะกินกันจริงๆ แล้วเราลำบาก ในแต่ละวันเราต้องดูว่าพรุ่งนี้เราจะมีข้าวกินไหม
แลกกับรายได้เท่าไหร่?
ตุ๊กตา : ตอนนั้นได้ไม่กี่บาท ถ้าย้อนไปตอนนั้นได้เกือบ 20 บาท ก็ถือว่าเยอะ เพราะสมัยเราไก่ไม้ละ 2 บาท น้ำอัดลม หรือก๋วยเตี๋ยวก็ชามละ 2 บาทเอง
ก็ทำมาเรื่อยๆ?
ตุ๊กตา : ก็ทำมาเรื่อยๆ แต่อีกงานที่สะเทือนใจคือพ่อต้องเชือดไก่ รับจ้างเชือกไก่ พอพ่อเชือดเราต้องม่บีบเลือดไก่ เพื่อรองเลือดออกมา
บางวันของมื้ออาหารก็ไม่ได้กินดีๆ นะ ข้าวบูดก็กินมาแล้ว?
ตุ๊กตา : ใช่ค่ะ เพราะว่าหุงข้าวทีนึงต้แงให้ได้หลายวัน แล้วข้าวสมัยก่อนไม่ได้เสียบไฟฟ้า มันคือหุงหม้อ เตาแล้วอยู่ตามไซต์งานก่อนสร้าง มันต้องเป็นหม้อที่หุงเข็กข้าว มีซาวน้ำ มีเช็กน้ำข้าว เพราะฉะนั้นพอข้าวมันบูดทำยังไง แม่ก็ไปตากแห้งแล้วเอามาล้างน้ำแล้วเอามาต้มเป็นข้าวต้ม แล้วแม่ก็เอาเนื้อข้าวให้ตุ๊กตากับพ่อกิน เพื่อจะได้มีแรง ส่วนแม่จะกินเฉพาะน้ำข้าว
กินไปเราได้กลิ่นของความบูดไหม?
ตุ๊กตา : ต่อให้ได้กลิ่นก็ต้องกิน เพราะเราไม่มีจะกิน
กับข้าวก็ต้องไปแย่งสุนัข?
ตุ๊กตา : ชีวิตตอนที่อยู่ก่อสร้าง ฝันอยากกินไก่ย่างมาตลอด ซี่โครงไก่ไม้ละ 2 บาท แต่ไม่มีเงินที่จะซื้อ กับข้าวของเราคือพริกป่นผักบุ้ง พริกป่นผักตำลึงลวก อะไรก็ได้ที่มันเก็บได้ ต้องประหยัด เห็นเขาซื้อไก่โยนให้หมา พอเขาไปก็เข้าไปไล่หมา แล้วก็เก็บไก่ที่พื้นขึ้นมาล้างน้ำแล้วก็มากิน เพราะแยากกินมากๆ แต่เราไม่มีเงินซื้อ
ตอนคุณพ่อโดนตำรวจจับ?

ตุ๊กตา : คือคุณพ่อ ตอนหลังลูกเริ่มจะโตเป็นสาว ไม่อยากให้ลูกอยู่ในไซต์งานก่อสร้าง ก็เลยไปกู้เงินมาก้อนนึง เพื่ออยากจะสร้างบ้าน ตอนนั้นเริ่มอยากจะเป็นผู้รับเหมาแล้ว ก็มีผู้รับเหมามาจ้างให้พ่อเป็นหัวหน้างาน เสร็จปุ๊บผู้รับเหมาก็ไปรับเงินเจ้าของบ้านไปแล้ว เขาไปซื้อของจริงแต่ไม่เยอะ แล้วเอามาฝากไว้ที่บ้าน แล้วเชิดเงินทั้งหมดหนีไป ของกลางอยู่ที่บ้าน หิน ดิน ทราย เจ้าหนี้มาเลย ของกลางอยู่ที่บ้าน แล้วเงินที่เหลือทั้งหมดอยู่ที่ไหน ทำไมไม่มาทำบ้านฉัน จำนนด้วยหลักฐาน มีหิน ดิน ทราย อยู่ที่บ้าน ก็เลยจับพ่อเข้าคุก 6 เดือน  เรื่องนี้ยัวอยู่ในใจเรา และเข้าใจเวลาเราเห็นข่าวคนถูกจับเข้าคุกแล้วเขาไม่ได้ทำผิด นั่งดูข่าวแล้วแบบพ่อเราเลย
ตอนนั้น 6 เดือน แล้วพ่อเป็นเสาหลักของบ้านด้วย แล้วเรากับแม่ทำยังไง?
ตุ๊กตา : ตอนนั้นพอพ่อโดนจับ แม่เหมือนกับกรีดร้องออกมา แล้วอยู่ๆ แม่ก็ล้มไปขยับร่างกายไม่ได้เป็นอัมพฤกณ์ แล้วเราตอนนั้นประมาณ 12 ปี เราทำอะไรไม่ได้เลย เราจะทำยังไงดี บ้านหลังนี้ที่เพิ่งสร้างก็ไปกู้เงินเขามา เจ้าหนี้มาด่าที่บ้านทุกวัน ตอนนั้นคิดในใจแล้วจะทำยังไง เก็บอะไรในทุ่งนาได้ก็เอาไปขาย แต่มันก็ไม่พอกับเงินที่อยากเก็บไปรักษาแม่ ตอนนั้นก็เลยคิดว่าอยากไปขอพระ ขอเป็นเด็กวัด แต่ท่านไม่ให้ เพราะเราเป็นผู้หญิง ก็เล่าให้ท่านฟังว่าตอนนี้แม่แย่มาก ไม่มีข้าวกิน นู่นนี่ ท่านเลยเมตตา ทุกเช้าที่บิณฑบาต เอาข้าวมาแขวนที่หน้าบ้าน และมาแขวนให้ถุงใหญ่มาก เราดีใจมากเลือกเก็บไว้กินครบ 3 มื้อที่เหลือเอาไปขาย เพื่อจะได้มีเงินมาต่อตรงนี้
แล้วเข้ามาในวงการบันเทิงได้ยังไง?
ตุ๊กตา : พอพ่อออกจากคุก เพราะเขาจับคนร้ายตัวจริงได้ พ่อก็ถูกปล่อยตัวออกมา เราก็ยังทำงานอะไรของเราอยู่ กิจวัตรประจำวันของตุ๊กตาคือตื่นตี3 คือตอนเย็นของอีกวันจะไปเก็บกระดาษหนังสือพิมพ์มา ตี3 จะต้องตื่นมาพับถุงกล้วยแขก ได้ 100 ใบ 3 บาท ซึ่งในระหว่างที่พับถุงอยู่ เราเห็นประกาศรับสมัครประกวดดาราทอง ของนิตยสาร ดาราไทย ทีวี รางวัลที่1 ได้รถยนต์ เอาไปขายดีกว่า ตอนนั้นไม่ได้คิดอยากเป็นดารา ก็เลยเขียนจดหมายส่งพร้อมรูปนักเรียนที่ถ่ายติดบัตร ได้รับการคัดเลือกเข้ารอบ 1,000 คน เขาส่งจดหมายกลับมา หลังจากนั้นก็ไปประกวดคัดแต่ละรอบๆ จนได้ที่1
ตอนนั้นเอาความสามารถอะไรไปแสดง?

ตุ๊กตา : ร้องเพลง ร้องไม่เป็นเลย เล่นละคร ก็เล่นไม่เป็นเลย แล้วก็เดินแบบ อาศัยดูจากคนที่เขาอยู่หน้าเรา เขาทำอะไรก็ทำตามเขา
ใช่อันนี้ไหมครับที่บอกว่าถ้าชนะจะได้มาเล่นภาพยนตร์กับพี่เต็า สมชาย?
ตุ๊กตา : ใช่ค่ะ
เหมือนพลิกชีวิตเลย?
ตุ๊กตา : ตอนนั้นประกวดก็ถ่ายทอดช่องนึง แล้วในที่สุดก็ได้รับการติดต่อให้มาเล่นภาพยนตร์กับพี่เต๋า สมชาย
เห็นว่าพอประกวดเวทีนี้ชนะ ก็ไปประกวดอีกเวทีนึง แล้วจะโดนส่งไปต่างประเทศด้วย?
ตุ๊กตา : ใช่
แต่เราเลือกที่ตะกลับมา?
ตุ๊กตา : ใช่ค่ะ เพราะตอนนั้น1.คืออยากทำงานอะไรก็ได้ที่ได้อยู่กับพ่อ กับแม่ แล้วไม่ทิ้งพ่อแม่ไป
แต่ตอนนั้นตุ๊กจะโดนคนว่าว่าดำ ลูกเป็ดขี้เหร่?
ตุ๊กตา : เรียกว่าหน้าเหมือนไข่นุ้ย ไม่สวย มาเป็นนางเอกได้ยังไง นางเอกจะมีแต่คนสวยๆ
แล้วผ่านตอนนั้นมาได้ยังไง?
ตุ๊กตา : ต้องขอบคุณกำลังใจจากพี่เต๋า สมชาย พี่เต๋าโคตรน่ารัก พี่เต๋าพูดว่าอย่าคิดมากลูก เราทำงานให้คนที่รักเรา คนไหนที่เขาไม่รักเรา เราก็ไม่ต้องไปสนใจ เหมือนพี่ พี่ไม่ได้คิดว่าพี่เป็นคนร้องเพลงเพราะ แต่มีคนอยากฟังเสียงพี่นะ เพราะฉะนั้นพี่ก็อยากร้องเพลงให้คนที่อยากฟังเสียงพี่ ไอตุ๊กสู้ ใครว่าเรายังไง มึงห็คือน้องพี่
แฟนคุณเป็นถึงพระเอกค่ายดัง?
ตุ๊กตา : คุณชินสุเวท เจตน์จํารัส คือต้องบอกว่าเป็นเพื่อนกันมาก่อน เป็นเพื่อนกันมา 7 ปีแรกเนี่ยเป็นเพื่อนกัน บังเอิญได้ทำงานร่วมกัน ก็คือได้จัดรายการวิทยุด้วยกัน พอปีที่8 เขาบินไปเรียนต่อที่อังกฤษ หลังจากนั้นรู้สึกว่าชีวิตมันขาดหายไป พี่กับพี่ชินเวลาคุยกัน กู มึง อยู่ในเวอร์ชั่นที่เขามีแฟนทุกคน เป็นที่ปรึกษาให้ด้วย ไปจัดเซอร์ไพรส์ให้แฟนเขาด้วย ปล้วช่วงนั้นมีแต่ผู้หญิงเข้ามา แบบตุ๊กตาอยากกินชินจัง เราก็แบบติดต่อให้เลยนะ คือเราเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ได้สนิทกับเขา เนื่องจากเรานิสัยแมนๆ
แล้วมันเปลี่ยนสถานะไปเป็นแฟนกันตอนไหน?
ตุ๊กตา : พอเขากลับมาจากอังกฤษ ก็เจอกัน ตอนนั้นเขาก็ไม่มีแฟน เราก็เลยบอกว่า เห้ยๆ มึงกับกูลองคบกันปะ คือพอตอนเขาอยู่เราไม่เห็นค่า แต่ตอนที่เขาไม่อยู่เขาไปอังกฤษ เรารู้สึกอะไรในชีวิตมันขาดหายไป จนวันที่เขากลับมา ก็เลยตัดสินใจบอกกับเขาว่าลองคบกันไหม
จากวันนั้นจนวันนี้คบกันมากี่ปี?

ตุ๊กตา : ถ้ารวมเป็นเพื่อนด้วย เป็นแฟนด้วย 17 ปี
แล้วพอเราพูดไปว่าเป็นแฟนกันไหม เขาว่ายังไง?
ตุ๊กตา : เขาก็นิ่งๆ แล้วตอบ อืม
แพลนจะแต่งเมื่อไหร่?
ตุ๊กตา : ไม่คิดแต่งงาน ไม่อยากมีลูก ตั้งใจกัน เพราะว่าพ่อแม่แฟนก็ป่วย พ่อแม่เราก็ป่วย เราคิดกันว่าเราจะดูแลพ่อแม่ของกันและกันให้ดีที่สุด เพราะเราคิดว่าถ้าเรามีลูก เราจะถูกแบ่งเวลา อันนี้เป็นความคิดส่วนตัว แล้วเราจะไม่มีเวลาดูแลพ่อแม่ ได้เต็มที่ ส่วนเรื่องของแต่งงาน ไม่คิดแต่ง เพราะเรารู้สึกว่าคนเราถ้ารักกัน เราอย่าเอาอะไรมาครอบเราทั้งสอง ถ้ามันไม่รัก ทำยังไงมันก็อยู่ด้วยกันไม่ได้
ติดตามชมรายการ “คุยแซ่บShow”  ทุกวันจันทร์-วันศุกร์  เวลา13.40-14.40 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow

Scroll To Top